ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ตัวชี้วัดช่วงชั้น
วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเข้าสู่โลกสมัยปัจจุบัน (ส. 4.2 ม. 4–6/2)

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ (K)
2. สนใจใฝ่เรียนรู้และตระหนักถึงความสำคัญของความขัดแย้งระหว่างประเทศ (A)
3. วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ (P, K)

ความขัดแย้งและความร่วมมือระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งและความร่วมมือประสานประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจถึงสาเหตุความขัดแย้งของมนุยชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
1. สาเหตุความขัดแย้งของมนุษยชาติในอดีต
ในอดีตมนุษยชาติมีปัญหาความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน ทั้งขัดแย้งทางความคิดและการกระทำ ซึ่งนำไปสู่การต่อสู้หรือทำสงครามทำลายล้างกัน โดยมีสาเหตุสรุปได้ดังนี้
1.1 ความขัดแย้งในสมัยโบราณ สาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง คือ  แย่งชิงดินแดนและที่อยู่อาศัย
(2) แย่งชิงแหล่งน้ำและอาหาร
(3) แย่งชิงทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คน เพื่อนำมาใช้เป็นกำลังแรงงาน
(4) ความขัดแย้งในความเชื่อและศาสนา
(5) ความแตกต่างทางด้านอารยธรรม ระหว่างชนชาติใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองกับชนชาติอื่นๆที่ล้าหลังด้อยความเจริญ
1.2 ความขัดแย้งในสมัยใหม่ เมื่อชาติตะวันตกเริมเดินทางสำรวจทางทะเลในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ความขัดแย้งระหว่างมนุษยชาติได้เพิ่มทวีขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยมรสาเหตุดังนี้(1) ความต้องการแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า
(2) ความต้องการสินค้าจากภูมิภาคอื่นๆ ของโลกที่ทวีปยุโรปยังไม่มี
(3) การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในดินแดนที่ผู้คนนับถือศาสนาอื่นๆ
(4) ความต้องการสร้างชาติของตนให้ยิ่งใหญ่ตามแนวทางของลัทธิจักรวรรดินิยม
(5) ความเหนือกว่าด้านกำลังอาวุธและศักยภาพในการทำสงครามของชาติมหาอำนาจ
(6) ความเชื่อเรื่อง “ภาระของของผิวขาว” ถือว่าเป็นหน้าที่ของชนชาติตะวันตกซึ่งมีความเจริญอารยธรรมสูงกว่า จะต้องเข้าไปปกครองดินแดนที่ล้าหลังและช่วยพัฒนาประชาชนที่ด้อยความเจริญในภูมิภาคต่างๆ ของโลก
2. สาเหตุความขัดแย้งของมนุษยชาติในยุคปัจจุบัน
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945) สิ้นสุดลง ความขัดแย้งของมนุษยชาติในสมัยปัจจุบันยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุสรุปได้ดังนี้
2.1 ความแตกต่างทางด้านสังคมและวัฒนธรรม หมายถึง ความรู้สึกแตกแยกหรือรังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกันและกันทางด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา และศาสนา และรวมทั้งความแตกต่างทางด้านอารยธรรม ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งของมนุษย์ในปัจจุบันทั้งสิ้น
2.2 ความแตกต่างทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ
2.3 การแข่งขันด้านอาวุธ
2.4 ลัทธิชาตินิยม ( Nationalism)
2.5 ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ระหว่างชนชาติต่างๆ
2.6 การต่อต้านบทบาทของชาติมหาอำนาจ

3. ความแตกต่างทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
ความขัดแย้งของมนุญชาติในสมัยปัจจุบันที่มีสาเหตุเกิดจากความแตกต่างทางด้านสังคมและวัฒนธรรม มีดังนี้
3.1 ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ หรือที่เรียกว่า “ลัทธิเผ่าพันธุ์นิยม” (Ethnicism)เป็นความรู้สึกของผู้คนในประเทศหนึ่งที่ผูกพันกับเผ่าพันธุ์เดิมของตน เกิดความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งเป็นประเทศเอกราชใหม่และเป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะเผ่าพันธุ์ของตนดังตัวอย่าง
(1) ชาวโครแอต (Croat) ก่อตั้งประเทศโครเอเชีย ( Republic or Croatia) โดยแยกตัวออกจากสหพันธรัฐยูโกสลาเวีย เมื่อปี ค.ศ.1991
(2) ชาวสโลวัก ( Slovak) แยกตัวออกจากประเทศเชคโกสโลวาเกีย ก่อตั้งเป็นประเทศเอกราชใหม่ในนาม สาธารณรัฐสโลวัก ( Slovak Republic) เมื่อปี ค.ศ.1993
3.2 ความขัดแย้งทางด้านศาสนา เช่น ความขัดแย้งระหว่าชาวฮินดูกับชาวมุสลิมในอินเดียหรือความขัดแย้งระหว่างผู้นับถือศาสนาเดียวกันแต่เป็นคนละนิกาย เช่น ผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่ ( Sunni) กับนิกายชีอะห์ ( Shi’a) ในประเทศอิรัก เป็นต้น
3.3 ความแตกต่างทางด้านอารยธรรม ทำให้มนุษย์เกิดความไม่เข้าใจกันและกลายเป็นสาเหตุความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ อารยธรรมที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน เช่น อารยธรรมตะวันตก อารยธรรมจีน อารยธรรมฮินดู และอารยธรรมของโลกอิสลาม เป็นต้น

4. ความแตกต่างทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ ความแตกต่างในอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ กลายเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งในหมู่มนุษยชาติ ดังนี้
4.1 อุดมการณ์ทางการเมือง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โลกมีความแตกต่างและความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างชาติ
มหาอำนาจ 2 ค่าย ดังนี้
(1) ค่ายประชาธิปไตย มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ
(2) ค่ายคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ
ความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองและการแข่งขันกันแผ่ขยายอิทธิพลของชาติมหาอำนาจทั้งสองค่ายในภูมิภาคต่างๆ ของโลกดังกล่าว ทำให้โลกเข้าสู่ภาวะ “สงครามเย็น” ( Cold War) ในช่วงปี ค.ศ.1945-1991 ซึ่งได้สิ้นสุดลงพร้อมๆกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
4.2 ระบบเศรษฐกิจ ประเทศต่างๆในโลกมีระบบเศรษฐกิจแตกต่างกันจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันได้ ระบบเศรษฐกิจที่สำคัญจำแนกได้ 3 ระบบใหญ่ๆ ดังนี้
(1) ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ซึ่งรู้จักกันในชื่อต่างๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) และระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด (Market Economic System) โดยให้เอกชนมีเสรีภาพในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐจะไม่เข้าแทรกแซงหรือแทรกแซงแต่น้อย
(2) ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialistic Economic System) หรือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง (Central Planning System) โดยรัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตต่างๆ และเป็นผู้ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญเสียเอง เช่น การธนาคาร การอุตสาหกรรม การสื่อสารและโทรคมนาคม และการสาธารณูปโภคอื่นๆ
(3) ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economic System) มีลักษณะผสมผสานระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกับระบบสังคมนิยม โดยเอกชนยังคงมีเสรีภาพในการผลิตแต่รัฐจะผูกขาดดำเนินกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญบางอย่าง เช่น ไฟฟ้า ประปา การคมนาคม และสาธารณูปโภคอื่น
5. การแข่งขันด้านอาวุธการแข่งขันสะสมอาวุธร้ายแรงระหว่างชาติต่างๆ กลายเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ ดังนี้ 
5.1 การแข่งขันกันผลิตและสะสมอาวุธร้ายแรงของประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นสาเหตุทำให้ประเทศในภูมิภาคเดียวกันเกิดความหวาดระแวง และเร่งดำเนินการผลิตเพื่อเตรียมป้องกันตนเองทำให้เกิดการแข่งขันเป็นวัฏจักรการสะสมอาวุธระหว่างประเทศขึ้น
5.2 ประเทศที่มีการสะสมขีปนาวุธร้ายแรง (นิวเคลียร์)ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งและความหวาดระแวงระหว่างประเทศในภูมิภาคเดียวกันหรือคู่กรณีที่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกันมาก่อน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน เป็นต้น

6. ลัทธิชาตินิยม
6.1 ลัทธิชาตินิยม (Nationalism) คือ ความจงรักภักดีต่อชาติของตนสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดคิดว่าชาติของตนมีความสำคัญเหนือกว่าครอบครัว ท้องถิ่น หรือประชาชาติอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศและกลายเป็นสงครามประหัตถ์ประหารกันได้
6.2 แนวความคิดชาตินิยมในทวีปเอเชียและแอฟริกา เริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อญี่ปุ่นทำสงครามรบชนะรัสเซีย ในปี พ.ศ.1905 กระตุ้นให้ชาติเล็ก ๆ เชื่อว่าจะสามารถเอาชนะประเทศยุโรปได้
6.3 พลังชาตินิยมปรากฏชัดเจนภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นไป) เมื่อขบวนการชาตินิยมได้ต่อสู้เรียกร้องเอกราชจนประสบผลสำเร็จ ทำให้ประเทศของตนหลุดพ้นจากสภาพดินแดนอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตก

7. ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ระหว่างชนชาติต่าง ๆ
7.1 ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่เคยมีความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ถึงขั้นทำสงครามหรือรุกรานกัน ความรู้สึกบาดหมางไม่เป็นมิตรต่อกันย่อมยังคงมีอยู่ และอาจเป็นชนวนสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นใหม่ได้
 7.2 ตัวอย่างของประเทศที่เคยมีความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์มาก่อน เช่น กรณีความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น หรือจีนกับเกาหลีใต้ ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 หรือกรณีอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เป็นต้น

8. การต่อต้านบทบาทของชาติมหาอำนาจ
8.1 บทบาทของสหรัฐอเมริกาในฐานะชาติมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน ได้สร้างความไม่พอใจแก่ประเทศหรือกลุ่มองค์กรทางการเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลเข้าแทรกแซงประเทศอาหรับในตะวันออกกลางในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งความขัดแย้งทางด้านวัฒนธรรม จึงทำให้เกิดความคิดต่อต้านสหรัฐอเมริกาและอารยธรรมตะวันตก ซึ่งกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงในเวลาต่อมา
8.2 ลัทธิก่อการร้าย (Terrorism) เป็นปฏิกิริยาต่อต้านบทบาทของสหรัฐอเมริกาและอารยธรรมของโลกตะวันตก เช่น ขบวนการอัล เคดา หรืออัล กออิดะห์ (Al Qa’ida) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ปฏิบัติการจึ้เครื่องบินโดยสารไปชนตึกเวิร์ดเทรด (World Trade Center) นครนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา ในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 แสดงถึงผลร้ายของความขัดแย้งระหว่างมนุษยชาติ

หตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความขัดแย้งของมนุษย์

9. ความขัดแย้งทางความคิดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความขัดแย้งทางความคิดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน คือ กรณีนักปรัชญาชาวกรีกที่ชื่อ “โซกราตีส” (Socrates) ในยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ มีระบบความคิดที่ไม่เหมือนใคร โดยปฏิเสธความเชื่อแบบดั้งเดิมจนถูกผู้ปกครงตัดสินลงโทษประหารชีวิต สรุปได้ ดังนี้
9.1 ไม่ยอมรับวิธีการปกครองของนครเอเธนส์ วิธีการเลือกผู้ปกครองที่ได้คนไม่มีความสามารถ และการทำหน้าที่ที่หย่อนประสิทธิภาพของสมาชิกรัฐสภาในขณะนั้น
9.2 ไม่เห็นด้วยกับวิธีสอนแบบท่องจำ แต่ใช้วิธีสอนแบบตั้งคำถามให้เด็กคิดเพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งต่อมาวิธีสอนแบบถาม – ตอบของโซกราตีส ได้รับการยอมรับจากนักศึกษาในสมัยปัจจุบันว่าเป็นวิธีการสอนที่ดีแบบหนึ่ง เรียกว่า “วิธีการสอนแบบโซกราตีส”
9.3 ปฏิเสธเทพเจ้าของกรีก ซึ่งทำให้โซกราตีสถูกต่อต้านอย่างมาก

10. ความขัดแย้งทางศาสนาเหตุการณ์ความขัดแย้งทางศาสนาในประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ ความขัดแย้งระหว่างผู้นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามในสมัยโบราณ ที่เรียกว่า “สงครามครูเสด” (Crusade) มีสาเหตุเกิดจากฝ่ายคริสต์ต้องการยึดปาเลสไตน์ (Palestine) ดินแดนอันศักดิ์สิทธ์จากฝ่ายมุสลิมกลับคืนมา เพราะเป็นสถานที่ที่พระเยซูประสูติและเผยแพร่คำสั่งสอน สงครามครูเสดครั้งใหญ่เกิดขึ้น 3 ครั้ง ดังนี้
10.1 สงครามครูเสดครั้งที่ 1 (ค.ศ.1096-1099) กองทัพชาวคริสต์มาจากเยอรมนี ฝรั่งเศสและอิตาลี สามารถยึดครองกรุงเยรูซาเล็มจากฝ่ายอิสลามได้
10.2 สงครามครูเสดครั้งที่ 2 (ค.ศ.1147-1149) กองทัพของกษัตริย์ฝรั่งเศสและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเอาชนะพวกเติร์กที่ยึดครองกรุงเยรูซาเล็มได้
10.3 สงครามครูเสดครั้งที่ 3 (ค.ศ.1189-1192) ผลของสงครามศาสนาครั้งนี้มีผู้คนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตจำนวนมากหลายแสนคน กองทัพชาวคริสต์นำโดยกษัตริย์อังกฤษ ฝรั่งเศส และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ประสบความล้มเหลวต้องถอยทัพกลับไป โดยไม่สามารถยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาได้

11. ความขัดแย้งทางอารยธรรม
11.1 ความขัดแย้งทางอารยธรรมในประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เกิดจากชาติที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวัฒนธรรมถือว่าอารยธรรมของตนสูงกว่าชนชาติอื่น ๆ และดูหมิ่นชาติที่ล้าหลังด้อยความเจริญว่าเป็นพวกป่าเถื่อน เช่น จีนในสมัยโบราณถือว่าตนเป็น “อาณาจักรกลาง” (หรือจงกว๋อ) ของโลก
11.2 เหตุการณ์ความขัดแย้งทางอารยธรรมในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คือ สงครามฝิ่น (ค.ศ.1839-1842) ระหว่างอังกฤษกับจีน โดยพ่อค้าอังกฤษลักลอบนำฝิ่นเข้ามาขายในจีนจึงถูกทางการจีนปราบปรามและขยายตัวเป็นสงคราม จีนเป็นฝ่ายแพ้ สงครามฝิ่นจึงเป็นตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับอารยธรรมตะวันออก กล่าวคือ
(1) ฝ่ายจีนต้องการให้อังกฤษเข้ามาติดต่อค้าขายในฐานะ “รัฐบรรณาการ” คือ ยอมอ่อนน้อม และนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระจักรพรรดิจีน (ระบบจิ้มก้อง)
(2) การเข้าเฝ้าจักรพรรดิจีนต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมจีน คือ คุกเข่าและคำนับให้หน้าผากจรดพื้น แต่ทูตอังกฤษถือว่าชาติตนมีอารยธรรมสูงกว่าจึงไม่ยอมทำตาม จีนจึงไม่ยอมเจรจาด้วย

12. ความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์
การแย่งชิงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้าเป็นสาเหตุประการหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
12.1 การแย่งชิงเส้นทางเดินเรือสู่หมู่เกาะอินเดียตะวันออก (East Indies) ระหว่างโปรตุเกสกับสเปนใน คริสต์ศตวรรษที่ 15 เพื่อแสวงหาแหล่งเครื่องเทศในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก (ในปัจจุบันคือหมู่เกาะอินโดนีเซีย) ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสอง
12.2 สงครามฝิ่น (ค.ศ.1839-1842) ระหว่างอังกฤษกับจีน มีสาเหตุจากความขัดแย้งทางด้านอารยธรรมและความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางการค้าควบคู่กัน เนื่องจากอังกฤษเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้ากับจีน จึงทดแทนด้วยการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาขายให้คนจีนสูบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทางการจีนปราบปรามทำให้ความขัดแย้งขยายตัวเป็นสงคราม ในที่สุดจีนเป็นฝ่ายปราชัยต้องทำสัญญาเสียเปรียบอังกฤษเพิ่มขึ้น
13. ความขัดแย้งทางอุดมการณ์
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีสาเหตุเกิดจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ มีดังนี้
13.1 ความขัดแย้งที่เกิดจากอุดมการณ์ประชาธิปไตย ได้แก่ การปฏิบัติเพื่อเอกราชของสหรัฐอเมริกา
ค.ศ.1776 การปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ค.ศ. 1991
13.2 ความขัดแย้งที่เกิดจากอุดมการณ์สังคมนิยม เช่น การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 และการปฏิวัติในจีน
ค.ศ.1949 ซึ่งนำประเทศทั้งสองเข้าสู่ระบอบการปกครองสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์

ความร่วมมือแก้ไขความขัดแย้ง
14. ประเภทของความร่วมมือความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของมนุษยชาติ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ จำแนกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
14.1 ความร่วมเมืองทางการเมือง เช่น องค์การอาเซียน (ASEAN) ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกพัฒนาระบอบการเมืองภายในของตนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ดังกรณีของประเทศพม่าที่ถูกนานาชาติกดดันให้ปลดปล่อยนางอองซาน ซูจี ผู้นำต่อต้านการปกครองเผด็จการในพม่าให้เป็นอิสระ
14.2 ความร่วมมือทางการทหาร เช่น สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (หรือ NATO) เพื่อความร่วมมือทางด้านการทหารและความมั่นคงร่วมกันระหว่างประเทศในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ในปัจจุบันมีชาติสมาชิก 19 ประเทศ
14.3 ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ มีลักษณะเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและเขตการค้าเสรี (Free Tread Area : FTA) เช่น สหภาพยุโรป (EU), นาฟตา (NAFTA) และ อาฟตา (AFTA) เป็นต้น
14.4 ความร่วมมือทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม และอื่น ๆ เช่น องค์การยูเนสโก (UNESCO) หรือองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ยูนิเซฟ (UNICEF) หรือกองทุนเด็กแห่งประชาชาติ เป็นต้น
15. แนวทางการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศแนวทางการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศมี 2 ลักษณะ ดังนี้
15.1 การสร้างความร่วมมือในเชิงสร้างสรรค์ (Positive)
15.2 การสร้างความร่วมมือที่ไม่สร้างสรรค์ (Negative)

16. การสร้างความร่วมมือในเชิงสร้างสรรค์การสร้างความร่วมมือในเชิงสร้างสรรค์ (Positive) เป็นแนวทางโดยสันติ
วิธีและเกิดผลอย่างยืนยาว มีดังนี้
16.1 การจัดตั้งองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น
16.2 การจัดทำกฎหมายระหว่างประเทศ หรือข้อตกลงร่วมกัน เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กฎหมายอาชญากรสงคราม และข้อตกลงลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
16.3 การทูต มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตขั้นปกติระหว่างกัน มีสถานเอกอัคราชทูตและเอกอัครราชทูตทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือและความเข้าใจอันดีต่อกัน
16.4 การควบคุมและลดกำลังอาวุธ มีการเจรจาจำกัดการสะสมหรือการทดลองขีปนาวุธต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน
16.5 ความร่วมมือทางด้านกีฬา ศิลปวัฒนธรรม และด้านอื่น ๆ เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic) การแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ และการแข่งขันทักษะช่างฝีมือต่างๆ เป็นต้น
17. การสร้างความร่วมมือที่ไม่สร้างสรรค์
การสร้างความร่วมมือที่ไม่สร้างสรรค์ (Negative) เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไม่ใช้แนวทางสันติวิธี แต่เป็นลักษณะการต่อต้านและใช้กำลัง หรือไม่ติดต่อคบค้าด้วย (Boycott)
17.1 กรณีสหรัฐอเมริการ่วมมือกับชาติพันธมิตร เช่น อังกฤษ อิตาลี ฯลฯ ใช้กำลังทางทหารเข้าแทรกแซงในอิรัก เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) เมื่อปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ.2546) โดยอ้างว่าผู้นำอิรักสนับสนุนการผลิตขีปนาวุธที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลก
17.2 การใช้กำลังทางทหารเข้าบังคับ หรือการทำสงคราม มี 2 ระดับ คือ
(1) สงครามจำกัดขอบเขต (Limite War) โดยใช้กำลังทางทหารเข้าปฏิบัติการในระยะเวลาและพื้นที่อันจำกัด เพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายมากนัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามปฏิบัติตามนโยบายของตนเท่านั้น เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ก็ถอนตัวกลับ เช่น สงครามขับไล่อิรักออกจากการยึดครองคูเวตของกองกำลังสหประชาชาติ (UN) โดยการนำของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1990
(2) สงครามเบ็ดเสร็จ (Absolute War) เป็นสงครามที่ประเทศมหาอำนาจใช้กำลังทางทหารเข้ายึดและครอบครองดินแดนแห่งนั้นไว้ตลอดไป โดยเข้าไปจัดระเบียบการปกครองใหม่ตามความต้องการของตน และตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและอื่น ๆ เช่น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ฯลฯ ในช่วงการขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมในคริสต์ศตวรรษ์ที่ 19-20 เป็นต้น

องค์กรความร่วมมือเพื่อประชาชนผลประโยชน์ของมนุษยชาติ
เหตุการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ ทั้งในด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การทหาร รวมไปถึงวัฒนธรรม ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียและความทุกข์แก่มนุษยชาติโดยรวม ประชาชาติต่าง ๆ ต่าง ๆ จึงได้พยายามแสวงหาหลักประกันเกี่ยวกับสันติภาพและความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง จึงทำให้เกิดการสร้างองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อทำให้ความเข้าใจถึงแนวทางการแสวงหาสันติภาพ และลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลก ดังสรุปได้ดังนี้
1. องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations)
- เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
- มีข้อกำหนดให้สมาชิกสันนิบาตชาติทุกประเทศต่อต้านการรุกรานจากภายนอก
- กำหนดบทลงโทษผู้รุกรานว่า“ประเทศสมาชิกสันนิบาตชาติจะร่วมมือกันใช้วิธีการลงโทษทางเศรษฐกิจการเงินและการทหารในการต่อต้านผู้รุกราน”องค์การสันนิบาตชาติยุบบทบาทลงเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
2. ขบวนการรณรงค์เพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์ (Campaign for Nuclear Disarmament – CND)
- ในระยะแรกมีการเคลื่อนไหวเฉพาะในอังกฤษ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกและเสริมสร้างอาวุธนิวเคลียร์
3. องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty Organization – NATO)
- เป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศในยุโรปตะวันตก
- มีจุดมุ่งหมายร่วมกันทางทหารและป้องกันการขยายตัวของคอมมิวนิสต์
4. องค์การสหประชาชาติ (United Nations – UN)
- เป็นการรวมกลุ่มของประเทศต่าง ๆ ในระดับโลก
- จัดตั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
- ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 1946 โดยเป็นสมาชิกอันดับที่ 54
- จุดประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชาติเพื่อให้บรรลุถึงความร่วมมือระหว่างประเทศอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
5. สันนิบาตอาหรับ (League of Arab States – The Arab League)
- จัดตั้งขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1945 - กลุ่มประเทศสมาชิกเป็นประเทศที่มีประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
- จุดมุ่งหมายของการก่อตั้งสันนิบาตอาหรับเพื่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การคมนาคม และการเป็นสื่อกลางเพื่อขจัดข้อขัดแย้งในโลกอาหรับ
6. องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (The Palestine Liberation Organization – PLO)
- ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1954
- องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ตั้งขึ้นเพื่อดำเนินนโยบายทางการเมืองและการทหาร
7. สหภาพยุโรปหรืออียู (European Union – EU)
- สหภาพยุโรปเป็นการรวมกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการทำสนธิสัญญามาสทริชต์ (Treaty of Masatricht)
- หลักการสำคัญ 3 ประการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ถูกระบุไว้ในสนธิสัญญามีดังนี้
1. ประชาคมยุโรปประกอบด้วยการเป็นตลาดเดียวการมีนโยบายร่วมในด้านการค้าการเกษตร พลังงาน สิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีธนาคารกลางยุโรปและมีการใช้เงินสกุลเดียวหรือเงินยูโร อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2002
2. นโยบายร่วมด้วยกระบวนการบุติธรรมและกิจกรรมภายใน
3. ความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมและกิจการภายใน
8. องค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือโอเปก (Organization of Petroleum Exporting Countries - OPEC) ประเทศผู้เริ่มการก่อตั้งองค์การโอเปก ได้แก่ ประเทศอิรักวัตถุประสงค์สำคัญขององค์การโอเปก เพื่อต้องการลดหรือขจัดอิทธิพลของบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนเจาะน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศโอเปกในราคาถูก นอกจากนี้ประเทศสมาชิกสามารถควบคุมและกำหนดราคาน้ำมันได้
9. สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asia Nations – ASEAN)
- สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งเป็นองค์การที่ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967
- สมาคมอาเซียนมีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม วิชาการ เป็นต้น
10. กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย – แปซิฟิก (Asia – Pacific Economic Cooperation – APEC)
- เอเปกเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก
- เอเปกมีวัตถุประสงค์สำคัญคือเรื่องป้องกันสิทธิประโยชน์ที่มีสมาชิกเอเปกที่ให้แก่กัน และให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มที่มิได้เป็นสมาชิกเอเปกด้วย
- หลักการสำคัญของเอเปกจะเป็นเวทีเพื่อความร่วมมือกันหารืออย่างตรงไปตรงมา และเป็นไปด้วยความสมัครใจ
11. องค์การค้าโลก (World Trade Organization – WTO)
- ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจและกีดกันทางการค้า ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการรวมกลุ่มภาคีสมาชิกเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาการกีดกันทางการค้า เพื่อทำความตกลงทั่วไปว่าด้วยการกำหนดภาษีศุลกากรและการค้า
- ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกลำดับที่ 59องค์การการค้าโลกตั้งขึ้นเพื่อเปิดโลกเสรีการค้าระหว่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามความพร้อมของสมาชิกประเทศสมาชิกมีสิทธิและข้อผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามภายใต้ข้อตกลงต่าง ๆ ขององค์การการค้าโลก ซึ่งช่วยส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรม
สงครามโลกครั้งที่ 1 และสภาวะหลังสงคราม



สงครามโลกครั้งที่ 1 และสภาวะหลังสงคราม
1. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) เป็นสงครามครั้งใหญ่ของมนุษย์ชาติเกิดขึ้นในคริสต์ตวรรษที่ 20 สมรภูมิของสงครามส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป มีผู้คนเสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนรวมไม่ต่ำกว่า 13 ล้านคน โดยสาเหตุของสงครามสรุปได้ ดังนี้
1.1 ลัทธิชาตินิยม (nationalism)
1.2 การแข่งขันแสวงหาอาณานิคม 
1.3 ชาติมหาอำนาจแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย
1.4 ความไม่มั่นคงทางการเมืองในคาบสมุทรบอลคาน ( Balkan )

2. ลัทธิชาติชนนิยม (nationalism)ช่วงเกิดสงครามโลกครั่งที่ 1 ชาติต่าง ๆ ประสบความสำเร็จในการรวมชนชาติ โดยรวมดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ของชนชาติเดียวกัน และก่อตั้งเป็นประเทศสำเร็จ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน และ อิตาลี
2.1 ความสำเร็จในการรวมชนชาติและเกิดประเทศที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในยุโรปทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในหมู่ชนชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาวสลาฟ (siavs) ในดินแดนคาบสมุทรบอลคาน (Balkan) ซึ่งต้องการร่วมตัวจัดตั้งเป็นประเทศเอกราชของตนเช่นเดียวกัน
2.2 ลัทธิชาตินิยมทำให้ชาติต่าง ในยุโรปคิดสร้างเสริมความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อความยิ่งใหญ่ของชาติตน เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดกระทบกระทั่งกับชาติอื่นๆ ในเวลาต่อกันมา

3. การแข่งขันแสวงหาอาณานิคม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาชาติยุโรปต่างแสวงหาอาณานิคมในดินแดนทวีปเอเชียและแอฟริกา เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน สรุปได้ดังนี้
3.1 การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป ทำให้ชาติต่างๆ มุ่งแสวงหาอาณาจักรนิคมในดินแดนไกลโพ้น เพื่อนำวัตถุดิบมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรมของตน โดยใช้กำลังทหารเข้ายึดครองดินแดนที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องการ
3.2 การใช้นโยบายการค้าเสรี ที่เน้นการแข่งขัน ทำให้ประเทศในยุโรปมีการแข่งขันกันสูงต่างกีดกันมิให้สินค้าจากชาติคู่แข่งขันมาตีตลาดภายในของตน โดยตั้งกำแพงภาษีตลาดภายในของตน โดยตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าให้สูงจนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันเช่น เยอรมันกับรัสเซีย เป็นต้น
3.3 ชาติยุโรปที่ประสบความสำร็จในการแสวงหาอาณานิคม ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และสเปน เป็นต้น ดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปเอชียและแอฟริกาตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรนิยมดังกล่าว โดยตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20

4. ชาติมหาอำนาจแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย
ความขัดแย้งและการแข่งขันในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองดังกล่าว ทำให้ชาติมหาอำนาจรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรของตนมีการแข่งขันสะสมกำลังอาวุธ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับฝ่ายตรงกันข้าม และช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเมื่อความขัดแย้งบานปลายกลายเป็นสงคราม
4.1 กลุ่มประเทศสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี ได้แก่ เยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
4.2 กลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศษ และรัสเซีย
5. ความไม่มั่นคงทางการเมืองในคาบสมุทรบอลคาน
คาบสมุทรบอลคาน ซึ่งอยู่ทางตอนไต้ของทวีปยุโรป ประสบปัญหาขาดความมั่นคงทางการเมืองจนกลายเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้
5.1 ประชาชนหลายเชื้อชาติในดินแดนคาบสมุทรบอลคาน เช่น ชนชาติสลาฟ กรีก และเตอร์ก ต่างตื่นตัวในพลังชาตินิยมมีการเคลื่อนไหวรวมตัวเพื่อจัดตั้งประเทศใหม่ของตน
5.2 อุปสรรคขัดขวางการร่วมชาติของชนชาติต่างๆ ในดินแดนคาบสมุทรบอนคาน คือ
(1) ความแตกแยกในการนับถือศาสนา
(2) ประเทศใหญ่ๆที่มีพรมแดนติดกับมหาสมุทรบอลคาลไม่ยินยอมให้มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ รัสเซีย อิตาลี และออสเตรีย-ฮังการี ทั้งนี้เพื่อรักษาอิทธิพลของตนในดินแดนเหล่านี้ไว้
5.3 เซอร์เบีย เป็นแคว้นเล็กๆผู้นำชนชาติสลาฟ ต้องการรวบรวมชนเผ่าสลาฟทั้งหมดในดินแดนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก่อตั้งเป็นประเทศเอกราช โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ทั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจแก่ออสเตรีย-ฮังการี เป็นอย่างมาก

6. ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
6.1 การลอบปรงพระชนม์องค์รัชทายาทของออสเตรีย- ฮังการี ในปี
ค.ศ. 1914 ขณะเสด็จประพาสเมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย ซึ่งรัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีเชื่อว่าเซอร์เบียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
6.2 การเข้าร่วมสงครามของชาติอื่นๆ ทำให้สถานการณ์ขยายวงกว้างกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่1 ดังนี้
(1) รัสเซียสนับสนุนกำลังทหารแก่เซอร์เบีย ทำให้อังกฤษกับฝรั่งเศสต้องเข้าช่วยเหลือรัสเชียตามข้อตกลงที่ทำไว้ในสนธิสัญญาที่ทำไว้
(2) สหรัฐอเมริกาเข้าช่วยอังกฤษและฝรั่งเศษ เพราะเรือสินค้าของตนถูกเยอรมันโจมตีอย่างไร้มนุษย์ธรรม
(3) เยอรมันเข้าช่วยเหลือออสเตรีย-ฮังการี ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาข้างต้น

7. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
การสู้รบกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ดำเนินมายาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ. 1914-1918) โดยสิ้นสุดลงเมื่อเยอรมันนีเป็นฝ่ายปราชัยยอมยุติสงคราม ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 มีดังนี้
7.1 ด้านสังคม ทหารสองฝ่ายเสียชีวิตประมาณ 13 ล้านคน และพลเรือนอีกประมาณ 1 ล้านคน มีผู้บาดเจ็บ พิการ และไร้ที่อยู่อาศัญรวมทั้งสูญเสียในทรัพย์สินอีกจำนวนมาก
7.2 ด้านการเมือง ชาติมหาอำนาจของยุโรปอ่อนแอและเกิดมหาอำนาจใหม่ขึ้นมาแทนคือ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
(1) ฝ่ายที่แพ้สงครามได้แก่ เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกี ฐานะที่เคยเป็นจักรวรรดิล่มสลายต้องเสียดินแดนอาณานิคมสูญเสียผลประโยชน์ทางการค้าและถูกลดกำลังทหารและอาวุธ เป็นต้น
(2) ฝ่ายที่ชนะสงครามได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส ได้รับความเสียหายบอบช้ำทางเศรษฐกิจ เพราะสมรภูมิรบอยู่ในยุโรป
7.3 ค้านเศรษฐกิจ เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากทั้งฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ความสูญเสียทางเศรษฐกิจมีดังนี้
(1) เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง สนามบิน อย่างยับเยิน เพราะทั้ง สองฝ่ายใช้กำลังอาวุธที่มีการทำลายล้างสูงจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบูรณะซ่อมซ่มจำนวนมาก
(2) ทุ่มเทการผลิตอาวุธใหม่ๆ อย่างมหาศาล เช่น เครื่องบิน เรือรบ ปืนใหญ่ ปืนกล ระเบิด เรือดำน้ำ แก๊สพิษ
(3) ฝ่ายแพ้ต้องจ่ายค่าปฎิกรรมสงครามตามสนธิสัญญา

8. องค์การสันนิบาตชาติ
องค์การสันนิบาตชาติ ถือกำเนิดภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงมีความเป็นมา วัตถุประสงค์ และบทบาทการดำเนินงาน ดังนี้
8.1 ผู้เริ่มจัดตั้งคือ วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาได้เสนอหลักการ 14 ข้อ เพื่อใช้เป็นหลักในการเจรจาทำสัญญาสันติภาพต่อผู้นำชาติพันธมิตร
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง โดยเสนอให้มี องค์การสันนิบาต เพื่อทำหน้าที่แก้ไขกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี
8.2 ผลงานขององค์การสันนิบาตชาติ ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ สรุปได้ดังนี้
(1) กรณีพิพาทที่สันนิบาตชาติแก้ไขปัญหาได้คือ การแย่งชิงหมู่เกาะโอลันด์ระหว่างฟินแลนด์กับสวีเดน ซึ่งสันนิบาตชาติตัดสินให้ฟินแลนด์มีอำนาจอธิปไตยในหมู่เกาะโอลันด์
(2) กรณีพิพาทที่สันนิบาตชาติประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา โดยไม่อาจระงับการรุกรานได้ และกลายเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 มี ดังนี้
1. อิตาลีใช้กำลังเข้ายึดครองเกาะคอร์ฟูของกรีก ค.ศ. 1923
2. ญี่ปุ่นรุกรานมณฑลแมนจูเรียของจีน ค. ศ. 1931
3. อิตาลีส่งกองทัพเข้ายึดครองอะบิสซิเนีย (เอธิโอเปีย) ค.ศ. 1935
4. เยอรมันส่งกองทัพเข้าสู่เขตปลอดทหารไรน์แลนด์ในปี ค.ศ. 1936 ชึ่งเป็นการละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ชายส์

9. จุดอ่อนขององค์การสันนิบาตชาติสันนิบาติชาติไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศและรักษาสันติภาพของโลก มีสาเหตุเกิดจากจุดอ่อนข้อด้อย 2 ประการ ดังนี้
9.1 สหรัฐอเมริกาและชนชาติมหาอำนาจอื่นๆ ไม่เป็นสมาชิก
(1) สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิก เพราะรัฐสภาไม่อนุมัติโดยไม่ยอมให้สัตยาบันใดๆ
(2) เยอรมัน ญี่ปุ่น และอิตาลี เข้าร่วมเป็นสมาชิกได้ไม่นานก็ลาออกไป
9.2 ชาติมหาอำนาจฝ่าฝืนไม่ยอมปฎิบัติตามมติขององค์การสันนิบาติชาติ โดยปฎิบัติการรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ เช่น ฝรั่งเศสเข้ายึดครองแคว้นรูห์ซึ่งเป็นแหล่งถ่านหินของเยอรมัน และอิตาลีเข้ายึดเกาะคอร์ฟูของกรีก ในปี ค. ศ. 1923 เป็นต้น
สงครามโลกครั้งที่ 2 และสภาวะหลังสงคราม
War II

สงครามโลกครั้งที่ 2 และสภาวะหลังสงคราม1.สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) เป็นสงครามที่สร้างความหายนะแก่มนุษยชาติมากกว่าสงครามครั้งใด ๆ เนื่องด้วยความก้าวหน้าในการผลิตอาวุธร้ายแรงต่าง ๆ สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 สรุปได้ดังนี้1.1 ลัทธิจักรวรรดินิยม
1.2 ลัทธิชาตินิยม
1.3 ลัทธิขยายแสนยานุภาพทางทหาร หรือลัทธินิยมทางทหาร
1.4 ชาติมหาอำนาจแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย
1.5 ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ
2. ลัทธิจักรวรรดินิยมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงในปีค.ศ. 1918 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ชาติมหาอำนาจต่างๆ ยังคงแข่งขันขยายอิทธิพลเข้ายึดครองดินแดนในทวีปแอฟริกาใต้และเอเชีย เพื่อแสวงหาแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า ตามรูปแบบของลัทธิจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นในสมัยนั้นรวมทั้งการผนวกดินแดนในทวีปยุโรปด้วย ดังเช่น
2.1 ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียของจีน ค.ศ. 1918 
2.2 อิตาลียึดครองเอธิโอเปีย ค.ศ. 19352.3 เยอรมันนีผนวกออสเตรีย ค.ศ. 1938
2.4 เยอรมันนีผนวกเซโกสโลวะเกีย ค.ศ. 1939
3.ลัทธิชาตินิยมลัทธิชาตินิยมเป็นสาเหตุสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยมีผู้นำประเทศมหาอำนาจต่างๆ พยายามปลุกกระแสลัทธชาตินิยม เพื่อสร้างชาติของตนให้ยิ่งใหญ่เหนือชาติอื่นๆ ดังเช่น
3.1 ลัทธิชาตินิยมของเยอรมัน รู้จักกันในนามของ ลัทธินาชี ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมันในสมัยนั้น
3.2 ลัทธิชาตินิยมของชาติอิตาลี เรียกว่า ลัทธิฟาสซิสต์ โดยการสนับสนุนของ
เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำอิตาลีในสมัยนั้น
3.3 ลัทธิชาตินิยมของญี่ปุ่น มุ่งสร้างญี่ปุ่นให้เป็นชาติผู้นำของชาวเอเชียโดยขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนต่าง เรียกว่า สร้างวงศ์ไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพา
4. ลัทธินิยมทางทหารก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945) กลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำปั่นกระแสลัทธิชาตินิยมในหมู่ประชาชน ได้แก่ เยอรมัน อิตาลี และ ญี่ปุ่น ได้แสดงออกถึงลัทธินิยม ทางทหารพร้อมกันไปด้วยเพื่อสร้างกองทัพของตนให้เข้มแข็งเป็นฐานรองรับที่ยิ่งใหญ่ของชาติตน ดังตัวอย่างเช่น
4.1 เยอรมันนีประกาศยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เมื่อปี ค.ศ.1936 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ในฐานะชาติผู้แพ้ในสงครามโลกครั่งที่ 1 โดยเริ่มต้นเกณฑ์ทหาร ปรับปรุงกองทัพ และพัฒนาอาวุธที่ทันสมัย ทางฝ่ายญี่ปุ่น อิตาลี และชาติมหาอำนาจในยุโรปอื่น ได้แสดงออกถึงลัทธินิยม
4.2 การแข่งขันกันสะสมการพัฒนาอาวุธเพื่อสร้างแสนยานุภาพทางทหาร ส่งผลให้ชาติมหาอำนาจต่างหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและพร้อมที่จะเกิดสงครามได้ทุกเมื่อ
5 .ชาติมหาอำนาจแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายการก่อตัวของลัทธิชาตินิยมและลัทธินิยมทางทหาร ทำให้ชาติมหานาจในสมัยนั้นเกิดความวาดระแวงซึ่งกันและกัน จึงรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรเพื่อให้ความช่วยเหลือทางทหารเมื่อถูกอีกฝ่ายหนึ่งคุกคามก่อนเกิดสงครามโลกครั่งที่ 2 ชาติมหาอำนาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
5.1 ฝ่ายอักษะ เป็นกลุ่มประเทศนิยมเผด็จการทางทหาร ได้แก่ เยอรมันนี อิตาลี และญี่ปุ่น ดำเนินนโยบายขยายอำนาจและผนวกดินแดนเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสร้างความยิ่งใหญ่ให้ชาติของตน
5.2 ฝ่ายพันธมิตร เป็นกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตยได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายประนีประนอมและรักษาสันติภาพ
6. ความอ่อนแอของสันติบาตชาติองค์การสันนิบาตชาติซึ่งจัดตั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อรักษาสันติภาพของโลกประสบความล้มเหลวในการปฎิบัติหน้าที่โดยสิ้นเชิงโดยไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของชาติมหาอำนาจ เยอรมันนี อิตาลี และญี่ปุ่นที่เข้ายึดครองดินแดนในภูมิภาคต่างๆได้โดยมีสาเหตุ ดังนี้
6.1 สันนิบาตชาติไม่มีกองทัพหรือกำลังทหารที่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาท
หรือระงับการรุกรานของชาติที่นิยมลัทธิเผด็จการทหาร
6.2 สหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจของกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตย
มีความเข้มแข็งทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกำลังทหาร แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติจึงทำให้องค์กรฯนี้อ่อนแอ ขาดความน่าเชื่อถือและไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ที่จะทำให้ชาติสมาชิกเกิดความยำเกรง
7. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเมื่อสหรัฐอเมริกาใช้ระเบิดปรมาณูโจมตีญี่ปุ่น ทำ
ทำให้ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายพันธมิตร เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1945 รวมเวลา 
ที่เกิดสงครามยาวนานถึง 6 ปี ความสูญเสียของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีมากกว่า
สงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่าสรุปได้ดังนี้
7.1 ด้านสังคม มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 40
ล้านคน
7.2 ด้านเศรษฐกิจ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญเกิดจากการทุ่มเทงบ
ประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อผลิตอาวุธที่ทันสมัยและมีศักยภาพสูงของประเทศคู่สงครามทั้งสองฝ่าย เช่น เรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด เรดาร์ตรวจจับเรือดำน้ำ จรวด และระเบิดปรมาณู เป็นต้น รวมมูลค่าทั้งหมดประมาณไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

7.3 ด้านการเมือง ประเทศผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขในสนธิสัญญาที่ฝ่ายชนะกำหนด เช่น จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ยอมเสียดินแดนและอาณานิคม ฯลฯ
ประเทศผู้นำของฝ่ายแพ้ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และรวมถึงประเทศในยุโรปที่ให้การสนับสนุน เช่น ออสเตรีย โรมาเนีย ฮังการี และฟินแลนด์ ต่างต้องสูญเสียดินแดน ซึ่งทำให้พรมแดนและอาณาเขตการปกครองต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
8. องค์การสหประชาชาติองค์การสหประชาชาติ(United Nations) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เพื่อรักษาสันติภาพของโลก และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิทธิมนุษยชาติ เป็นต้น บทบาทหรือผลการปฏิบัติงานขององค์การสหประชาชาติ (UN)ที่ผ่านมา มีดังนี้
8.1 การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้ง หรือกรณีพิพาทที่เกิดจากปัญหาเชื้อชาติและดินแดน โดยสหประชาชาติแก้ไขโดยใช้วิธีเจรจาไกล่เกลี่ยหรือใช้กองกำลังทางทหาร เข้าจัดการ ซึ่งดำเนินการจนบรรลุผลสำเร็จ เช่น ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี ค.ศ. 1953 และปัญหาอิรักยึดครองคูเวต(สงครามอ่าวเปอร์เซีย) ค.ศ. 1991 เป็นต้น
8.2 การลดอาวุธ สหประชาชาติจัดให้มีการเจรจาเพื่อลดและควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างชาติมหาอำนาจต่างๆ หลายครั้งเพื่อลดความตึงเครียดและ สร้างความมั่นคงปลอดภัยแก่มนุษยชาติมีการทำสนธิสัญญาเพื่อกำจัดและควบคุมอาวุธขึ้นหลายฉบับ เช่น สนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์ เป็นต้น
8.3 การพัฒนาเศรษฐกิจ มีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เช่น ธนาคารโลก(IBRD) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) องค์การการค้าโลก (WTO) และกองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ(UNICEF) เป็นต้น
8.4 ด้านสิทธิมนุษยชน มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” เพื่อส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นมนุษย์ทั่วโลก โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และเพศ และส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และความปลอดภัยของประชาชน
8.5 ด้านกฎหมาย มีการจัดทำกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกัน รักษาความยุติธรรมและผลประโยชน์ของประเทศสมาชิก เช่น กฎหมายทางทะเล กฎหมายว่าด้วยแรงงานระหว่างประเทศ ฯลฯ รวมทั้งยังมี “ศาลโลก” ทำหน้าที่ตัดสินคดีพิพาทระหว่างประเทศอีกด้วย
8.6 ด้านความเป็นเอกราชของประเทศ หมายถึง ดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ เมื่อมีความพร้อมที่จะปกครองตนเองก็จะได้รับพิจารณาให้เป็นประเทศเอกราช ประเทศที่ได้รับเอกราชแล้ว ได้แก่ ปาปัว นิวกินี นาอูรู และโตโก เป็นต้น

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น